"..." พูด
*...* กระซิบ
(...) คิดในใจ
/.../ การกระทำ
•///• -///- เขิน
.jpg)
(ลิ้งค์ https://pin.it/5lx6CcY)
เมื่อทิวาไปส่งเฮอร์เมสเสร็จก็กลับมายังบ้านแสนสุขของตัวเอง คิดถึงชะมัดเลย!
"ข้ากลับมาแล้ว!"
นางตะโกนลั่น แม่บ้านและพ่อบ้านของวังต่างกล่าวทักทายนางอย่างสนิทสนม แต่มันมีบางอย่างแปลกไป...โลกิ! เจ้าตัวป่วนของนางหายไปไหนนะ พี่ท้อก็เหมือนกัน นางอุตส่าห์กลับมาทั้งที
"คาลอส...ไม่ได้เกิดเหตุร้ายอะไรใช่ปะ"
เทพีสาวถามมังกรหนุ่ม เขายิ้มแห้งๆ ในเมื่อมันยังสงบสุขแบบนี้ก็ขอใช้เวลาให้คุ้มค่า เข้าห้องไปพักสักหน่อย ส่วนคาลอสก็ขอตัวกลับถ้ำตัวเอง
"อ่า.../นอนบนเตียง/ เอาไปทำอะไรดีเนี่ย"
นางมองเขี้ยวหนึ่งคู่และลูกแก้ววิญญาณหนึ่งลูก คิดอยู่สักพักก็มีไอเดียดีๆผุดขึ้นมา ทิวาเอาของทั้งสองอย่างวางไว้บนโต๊ะและร่ายมนตร์
"สวยใช้ได้นี่! จะใส่บ่อยๆเลย"
เชือกพันกันอย่างสวยงามเป็นเส้นเดียว ลูกแก้วกลมสีน้ำเงินแซมม่วงคล้ายจักรวาลเต็มไปด้วยดวงดาว ขนาบกับเขี้ยวเสือสองข้างดูสง่างามอีกทั้งน่าเกรงขาม เมื่อมันคล้องคอของทิวา ความรู้สึกนี้ราวกับได้อยู่กับคนที่นางรัก
"ทีนี้พวกเจ้าก็อยู่ใกล้หัวใจข้าแล้วนะ"
เทพีสาวยิ้มอุ่นใจ มองไปยังคุโมะที่นอนอยู่บนเตียงเล็กๆ เขาช่างน่ารักจริงเชียว แต่แล้วบางสิ่งก็เกิดขึ้น ใครบางคนที่นางเพิ่งจะถามหาเมื่อครู่ เจ้าตัวป่วนประจำตำนานนอร์ส โลกิเปิดประตูเข้ามา
"ที่รักจ๋าาา"
เขาพุ่งเข้ามากอดนางพร้อมกับบอกว่าคิดถึงทิวาแค่ไหน
"ข้าคิดถึงที่รักมากเลยนะ ใจจะขาดอยู่แล้ว!"
โลกิเอาหน้าหนุนตักเทพีสาวอย่างเอาอกเอาใจ ดูเหมือนเจ้าคุโมะจะไม่ค่อยชอบที่ใครก็ไม่รู้เข้าใกล้ทิวามากเกินไป มันทั้งขู่และเอาอุ้งเท้าตบ เรียกได้ว่าปกป้องทิวาสุดใจ
"อ่าวเฮ้ย! กล้าตบข้ารึ!"
ท่านเทพหัวเขียวย่อตัวลงมาระดับเดียวกับคุโมะที่พองขนสู้ ทิวาเฝ้าดูพวกเขาพร้อมหัวเราะคิกคัก โลกิเดินมาหลบด้านหลังหญิงสาวอีกทั้งยังเชิดหน้าใส่แมวสีเทาอย่างหยิ่งทะนง
"ที่รักไปเก็บเจ้า...เจ้าก้อนไขมันนี่มาจากไหน"
"ได้มาจากคนรู้จักน่ะ น่ารักใช่มั้ยล่ะ"
นางลูบมันด้วยความรัก เห็นแบบนั้นโลกิแทบจะลงแดง เทพีที่เขาหวงแหนที่สุดจะมารักใครหรืออะไรนอกจากเขาไม่ได้เด็ดขาด! ดูท่าเจ้าแมวนี่กำลังประกาศสงครามกับโลกิงั้นสิ
"เจ้าเนี่ย...หน้าตาแปลกประหลาดชะมัด"
โลกิ 'หยิบ' เจ้าแมวสีเทานี่ขึ้นมาเพ่งพินิจ ทั้งที่ทิวาก็ห้ามแล้วว่าอย่าอุ้มอย่างนั้นแต่เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด...
"คุโมะน่ารักจะตาย เอาอะไรมาพูด"
นางหัวเราะ เทพแห่งการหลอกลวงคงไม่ถูกกับแมวเหมือนที่คาลอสเป็นนั้นแหละ สงสัยจังเลยว่าคนอื่นจะคิดยังไง
"แล้วท่านพ่อกับพี่ท้อไปไหนล่ะ"
ไม่เห็นตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ พวกเขาไปไหนก็ไม่รู้ เทพหนุ่มที่นั่งมองหน้านางอย่างสบายใจได้ยินก็สะดุ้ง อุตส่าห์คิดว่าจะไม่ถามแล้วเชียว
"ท่านลุงทำงานส่วนเจ้านั่น..."
ไม่ยอมบอกตามเคย ทิวาส่ายหน้าเอือมระอา กลับมาทั้งทีมีแต่เจ้าแป้งทอดที่รู้หรอเนี่ย
"/เปิดประตู/ ทิวา? ข้าได้ยินว่าเจ้ากลับมาแล้ว"
เทพสายฟ้าชะโงกหน้าเข้ามา เมื่อเห็นเจ้าน้องชายตัวดีอยู่กับเทพีสาวก็รีบเดิน แต่พอเห็นคุโมะก็หยุดนิ่งไปสักพักนึง
"เจ้าได้แมวกลับมาจากโลกรึ"
ทิวายิ้มแห้งๆ ก็นะ สัตว์ที่อยู่ในสวนมีเยอะมากพออยู่แล้ว ดันเอามาเพิ่มอีกไม่แปลกใจที่พวกเขาจะปวดหัว
"แฮะๆ คุโมะน่ารักใช่มั้ยล่า"
นางรีบอุ้มเจ้าเหมียวขึ้นมา แต่ท่าทางของธอร์ดูเหนือกว่าที่คาดไว้ เขาย่อตัวลงและจ้องเจ้าเหมียวราวกับสื่อสารกันทางจิต คุโมะก็เหมือนจะชอบใจเทพหน้าใหม่ เขาเข้าไปคลอเคลียแถมเล่นด้วยอีกต่างหาก
"อืม...ข้าชอบมัน"
แม่เจ้า...ผิดจากที่คิดไว้มากๆ ต่อจากนี้ทิวาคงไม่ใช่คนที่เจ้าคุโมะชอบมากที่สุดแล้วมั้ง แมวอ้วนพยายามตะกายขึ้นบนตัวอีกฝ่าย ธอร์ทำท่าเก้ๆกังๆก่อนจะอุ้มมันขึ้นมา
"หลายใจนักนะคุโมะ!"
ทิวาตัดพ้อ นางเป็นเจ้าของใหม่เขานะ! ทำแบบนี้เหมือนเอามีดมาแทงหัวใจเทพีสาวสุดๆเลย
"ใช่มั้ยล่า แมวน่ะเจ้าเล่ห์จะตาย"
โลกิเสริม มองด้วยสายตาคาดโทษไปยังพี่ชายไม่แท้และก้อนขนที่อยู่ในแขนของเขา จะบอกว่าทั้งคู่เหมือนอยู่ในโลกเดียวกันได้เลย
"แต่สุดท้ายเจ้าก็เป็นเทพจอมเจ้าเล่ห์ โกกิ"
ทิวาแซวอีกฝ่าย ไม่มีใครในที่นี่หรือในโลกนี้ที่เกรียนแตกเท่าโลกิอีกแล้ว
"ที่รักก็พูดไปนั่น...จริงสิ!"
เขาสะกิดเรียกทิวา เอาจริงๆนางอยากรู้มากว่าสองวันที่นางไม่อยู่มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
"ท่านลุงขอข้าไว้- "
"ขอพวกเราว่าถ้าเจ้ากลับมาเมื่อไหร่ให้ไปหา"
ธอร์รีบขัดขึ้นมา ไม่งั้นเจ้าน้องชายตัวดีได้ใส่สีตีไข่จนเละไม่เป็นท่าแน่ๆ เทพีพยักหน้ารับรู้ นางลุกขึ้นพร้อมกับชายหนุ่มทั้งสองและเจ้าเหมียว แต่พอมาถึงหน้าประตูนางก็เสียวสันหลังขึ้นมา
"/ชักมือออก/ พวกเจ้าจะเข้าไปด้วยใช่มั้ย?"
มือที่จับลูกบิดไว้เมื่อครู่รีบปล่อยราวกับโดนของร้อนลวก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าลึกๆนางกลัวท่านพ่อบุญธรรมคนนี้ไม่ใช่น้อย
"ท่านลุงอยากคุยกับที่รักแบบเป็นส่วนตัวน่ะ"
โลกิยิ้ม คราวนี้แหละ ตายแน่ๆ ตายแบบไม่มีฟื้นรอบสองเลยล่ะ มือที่สั่นเทาค่อยๆเปิดเข้าไปในห้องทำงานของเทพสูงสุดแห่งนอร์ส ทิวาเดินเข้าไปด้วยขาที่แทบไม่มีแรงพยุงตัว
"ข- ข้ากลับมาแล้วค่ะท่านพ่อ"
นางยิ้มแหยๆพร้อมกับนั่งบนเก้าอี้ไม่ไกลจากโต๊ะทำงานของโอดิน ดีนะที่เจ้าอีกาสองตัวนั่นไม่อยู่ ไม่งั้นคงหูชากว่านี้แน่ ทั้งที่อากาศก็ไม่ได้ร้อนแต่เหงื่อนี่ไหลมาอย่างกับเขื่อนแตก
"ทิวา"
"/สะดุ้ง/ ค่า..."
นางได้แต่ตอบรับเสียงแผ่ว รู้แน่ชัดว่าความผิดที่ตนก่อคืออะไร แต่สุดท้ายก็ไม่อยากเผชิญหน้าตรงๆนี่นา!
"เจ้าไม่ควรใช้พลังในโลกมนุษย์"
ว่าแล้วเชียว...พลังของนางยังไม่ถึงขั้นที่จะปกปิดร่องรอยได้ ยังไงเทพระดับสูงอย่างโอดินก็ต้องรู้
"พอดีมียักษ์โผล่มาข้าเลยต้องแสดงฝีมือน่ะ"
นางหัวเราะกลบเกลื่อนความกลัว ทั้งที่ในใจกำลังร้องไห้แทบตายว่าอยากออกไปจากที่นี่ สายตาคมกริบของผู้ที่อายุมากกว่ามองนางอย่างเฉือดเฉือน
(เจ้าแป้งทอด...ช่วยข้าด้วย!!)
นางได้ยินเสียงโอดินถอนหายใจ เขาวางงานและเอกสารทุกอย่างก่อนจะผายมือให้นางมานั่งตรงข้าม หญิงสาวเม้มปาก คิดไว้ว่าน่าจะโดนทำโทษ
"ข้าขอโทษ...ข้าน่าจะคิดให้รอบคอบกว่านี้"
นางก้มหน้า ต่อให้คนคนนั้นจะสำคัญแค่ไหนแต่มนุษย์นอกเหนือจากนี้ยังไม่พร้อมจะรับรู้การมีอยู่ของเทพ
"เจ้าไม่ได้ทำผิดแต่ก็ไม่ถูก วันหลังห้ามทำอีก"
ถ้าบอกแบบนี้คงไม่โกรธมากแหละ...ใช่มั้ยนะ!? อย่างน้อยบรรยากาศในห้องก็ไม่ตึงเครียดขนาดนั้นแล้ว
"ข้าคงต้องฝึกอีกเยอะกว่าจะหลบท่านพ่อได้"
นางยิ้มอ่อน โอดินก็เช่นกัน แต่แล้วเขาก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้
"ที่จริงมีอีกวิธีโดยที่เจ้าไม่ต้องฝึก"
ทิวาทำตาโต อีกขั้นอย่างนั้นหรอ แบบที่เหนือกว่านี้ แข็งแกร่งกว่านี้งั้นหรอ! ชักอยากจะรู้แล้วสิ
"ท่านพ่อต้องรีบบอกมาแล้วนะคะ!"
พอรู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรกมีหรือที่ทิวาจะไม่อยากรู้ นางเบื่อที่จะฝึกใช้มนตร์มากพอๆกับที่เจ้าแป้งทอดเกลียดพี่ท้อเลยล่ะ
"เทพบางองค์เรียกมันว่าเปลวเพลิงแห่งฟินิกซ์"
ทิวาสงสัย นางดันเก้าอี้ให้เข้ามาใกล้ขึ้นไปอีก อยากจะถามกับทุกสิ่งทุกอย่างที่โอดินบอกเมื่อครู่
"แบบเผาร่างเดิมแล้วเกิดใหม่หรอคะ?"
ทิวาคิดเล่นๆ พวกเขาจะจุดไฟเผานางแล้วรอให้ฟื้นคืนชีพรึไง
"จะว่าอย่างนั้นก็ได้"
เขาหัวเราะเสียงต่ำ เดี๋ยวนะ...เดี๋ยว นางแค่ล้อเล่นแต่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆนะเนี่ย
"ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เจ้าดูไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด"
ทิวาขมวดคิ้ว ทำไมต้องสงสัยด้วยนะ เรื่องแบบนี้นางไม่สนใจตั้งแต่แรกแล้ว แต่มันก็แปลกจริงๆนั่นแหละ นางดูเหมือนเด็กม.ปลายเสมอมา
"พลังที่กดเจ้าไว้หลับไหลอยู่ในนั้นนับร้อยปี"
โอดินชี้ไปที่อกด้านซ้ายของทิวา เทพีสาวอ้าปากค้าง ว่าแล้ว! นางไม่ได้เตี้ย แค่ไม่โตขึ้นเฉยๆ
"จะเกิดอะไรขึ้นถ้าข้าปลุกมันขึ้นมา"
ทิวาเริ่มอยากจะรู้ โอดินเคาะโต๊ะด้วยนิ้วหนึ่งครั้งก่อนจะยิ้มเบาๆ
"ลองถามพี่ๆเจ้าดูสิ"
นางเค้นหัวเราะ บางทีท่านเทพที่ดูน่าเกรงขามก็มีมุมอยากหยอกลูกสาวเหมือนกันนะเนี่ย
"ขอบคุณค่ะท่านพ่อ ข้าจะลองคิดดู"
นางโค้งกล่าวลาและเดินกลับห้อง ระหว่างทางก็เจอกับพี่ชายทั้งสอง ไม่ยักรู้ว่าธอร์จะสนิทกับคุโมะไวขนาดนี้ เจ้าเหมียวปล่อยให้เทพหนุ่มเกาคางแม้กระทั่งจกพุงอ้วนๆ
"ข้าเริ่มหมั่นไส้เจ้าแล้วนะธอร์"
เทพีสาวเท้าเอวมอง โลกิที่ยืนอยู่ใกล้ๆรีบแลบลิ้นปริ้นตาใส่เทพผมแดงอย่างสะใจคล้ายว่าตัวเองเหนือกว่า
"ที่รักคุยอะไรกับท่านลุงหรอ ข้าอยากรู้บ้างอ่า"
เจ้าแป้งทอดร้องโอดครวญเพราะเผือกร้อนๆมันถูกปากเขาเชียวแหละ
"อ๊ะ! ข้ามีเรื่องขอถามก่อน"
"แหม ที่รักมาหาเทพถูกองค์แล้ว"
ทิวากรอกตาเพราะความมั่นหน้าของอีกฝ่าย ขนาดธอร์ยังเบะปากใส่โลกิ
"เปลวเพลิงแห่งฟินิกซ์เนี่ย...มันคืออะไรหรอ?"
เทพหนุ่มทั้งสองเบิกตาและหันหน้ามามองหญิงสาวเป็นตาเดียว ทิวาชะงัก มันมีอะไรน่ากลัวงั้นหรอ!?
"ไม่น่าเชื่อว่าท่านพ่อจะเสนอให้ทำพิธี"
ธอร์พูดกับโลกิทั้งที่ปกติมักจะกัดกันตลอด เทพแห่งการหลอกลวงพยักหน้า
"อื้มๆ ขนาดข้ายังไม่อยากเชื่อเลย"
"อย่าเวอร์น่า /หัวเราะ/ มันไม่อันตรายขั้นนั้นหรอก"
ถึงจะพูดไปแบบนี้แต่สีหน้าของชายหนุ่มสองคนดูแปลกไป เริ่มไม่อยากรู้แล้วนะเนี่ย
"สรุปแล้ว...มันคืออะไรน่ะ"
"ไปคุยกันที่อื่นดีกว่า"
โลกิยิ้มกระหยิ่มและเดินนำทิวาไปยังห้องสมุด เวลาพูดเรื่องนี้มันควรเป็นความลับน่ะนะ
"ข้าว่าคุโมะติดเจ้ามากเกินไปแล้ว..."
แมวสีเทาเดินตามโดยไม่ออกนอกเส้นทางแม้แต่นิดเดียว ถ้าพูดให้ถูกคือเดินตามธอร์มาต่างหาก เมื่อมาถึงที่หมายก็จัดแจงที่นั่ง
"เปลวเพลิงแห่งฟินิกซ์เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ของเทพ"
เทพแห่งคำลวงค่อยๆเปิดหนังสือเล่มหนาว่าด้วยพิธีกรรมต่างๆ แต่ข้อมูลของสิ่งที่ทิวาอยากรู้มีอยู่น้อยนิดแบบที่ปรากฏให้เห็นเพียงชื่อเท่านั้น
"ทำไมมันมีแค่นี้ล่ะ..."
เทพีสาวทำหน้าผิดหวัง หาดูตั้งนานก็ไม่เจอสักทีแต่นางมีพี่ๆทั้งสองคนคอยช่วยอยู่ตรงนี้แล้ว! พวกเขาจะมาไขข้อสงสัยนั้นเอง
"เทพส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมตายกันแทบหมดนี่นะ- "
โลกิรีบปิดปากของเขาเมื่อรู้ว่าตัวเองพูดมากไปแล้ว ธอร์ส่งสายตาอาฆาตมองอีกฝ่ายราวกับกำลังจะฆ่าน้องชายได้ทุกวินาที
"แต่ที่รักของข้าแข็งแกร่งอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก"
เขายิ้มแห้ง ทั้งโต๊ะตกอยู่ในความเงียบสงัด เทพีสาวก้มหน้าครุ่นคิด
"ถ้า 'สมมุติ' ว่าข้าไม่ตาย จะเกิดอะไรขึ้น"
ทิวาเอนหลังพิงเก้าอี้ ธอร์จึงพูดขึ้นมาแทนเพราะถ้าโลกิอธิบายต่อมีหวังได้พังอีกเป็นครั้งที่สอง
"ร่างกายเจ้าจะถูกแผดเผาและอุบัติขึ้นใหม่"
นางขมวดคิ้ว มันก็เป็นวิธีเดียวกันกับตอนที่นกไฟอย่างฟินิกซ์ใกล้ตายแล้วค่อยสร้างตัวเองขึ้นจากเถ้าถ่านไม่ใช่หรอก!? เมื่อเทพแห่งสายฟ้าเห็นหน้าตาของทิวาดูเครียดผิดปกติก็พยายามแก้สถานการณ์
"แต่สุดท้ายเจ้าจะปฏิเสธท่านพ่อก็ได้- "
"ข้าจะทำ"
เสียงใสพูดขัดขึ้นอย่างกระทันหัน โลกิและธอร์ต่างตกตะลึงในความแน่วแน่ของนาง จะว่าดีที่นางอยากจะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง แต่เรื่องบางเรื่องไม่ต้องก็ได้!!
"ที่รักแน่ใจหรอ...ถ้าผิดพลาดล่ะก็ตายได้เลยนะ"
ขนาดโลกิยังถามย้ำกับเจ้าตัวว่ามั่นใจแล้วหรือ ทั้งเขา ธอร์และโอดิน ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้ทิวาตาย
"พลังใหม่แลกกับชีวิต...คุ้มค่าจะตาย!"
นางหัวเราะ เดาว่าหลังจากกลับมาจากโลกสมองคงละลายไปแล้วสามส่วน ถ้าถามว่าทิวากลัวมั้ย...กลัวดิ! แต่ทุกอย่างก็เหมือนเพลงเล่นของสูงนั่นแหละ รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องของลอง!
"แล้ว...ข้าต้องทำอะไรบ้าง"
จะเข้าพิธีโดยที่ไม่รู้ว่าเขาให้ทำอะไรบ้างได้ไงล่ะ ทั้งธอร์และโลกิต่างพากันแนะนำว่าสิ่งไหนต้องทำ สิ่งไหนควรทำและสิ่งไหนที่ไม่ควร ที่เหลือคือไปตกลงกับโอดินเอง
"ข้าจะจัดงานวันที่ข้าครบสองร้อยปี"
ทุกคนเห็นตรงกันว่าวันนั้นคงเป็นวันดี ถ้าทิวาไม่ตายระหว่างพิธีนะ หลังจากเอนี้ก็พยายามคิดชื่อที่ดีที่สุดให้ตัวเองไปพลางๆ ในทุกวันก็จัดเตรียมงานอย่างตั้งใจ สถานที่คงหนีไม่พ้นสวนเอย์ออนเนียร์
//หลายปีผ่านไป//
"สุขสันต์วันเกิดนะที่รัก!"
โลกิพุ่งเข้ามากอดหญิงสาวเหมือนทุกครั้ง นางยังอยู่ในชุดธรรมดาเพื่อมาต้อนรับแขก วันนี้พี่ท้อและเจ้าแป้งทอดใส่เสื้อที่ดูดีกว่าปกติขึ้นมาหน่อย
ด้วยความที่มันเป็นสวน ต้นไม้และดอกไม้จึงไม่จำเป็นต้องหามาเพิ่ม แต่จะให้จัดกลางลานก็คงไม่เหมาะ ทิวาจึงเสนอให้ไปจัดที่วังเล็กในนั้นแทนซึ่งสวยไม่แพ้กันเลยล่ะ เทพีสาวชอบมากเพราะส่วนใหญ่ที่นี่จะเปิดโล่ง เห็นท้องฟ้ากับดวงดาวตอนกลางคืนชัดเป็นพิเศษ
"พออายุสองร้อยปีแล้วรู้สึกแก่จังเลยแฮะ"
ทิวาเกาหัวตัวเอง ไม่นึกว่าจะมีวันที่ต้องมาฉลองครบรอบสองร้อยปีด้วย
"ถ้าเจ้าพูดแบบนั้นแล้วพวกข้าล่ะ"
ธอร์หัวเราะอ่อนๆ ร้อยวันพันปีจะเห็นสักทีนะของแบบนี้ ทันทีที่ได้ยินเสียงกระดิ่งทิวาก็รีบหันหลังไป
"จับคุโมะแต่งตัวซะหล่อเชียวนะ /ยิ้ม/"
ทิวาแกล้งแซวเจ้ามังกรหนุ่ม ตอนแรกนะกลัวจะเป็นจะตาย ตอนนี้แทบจะคุยกันรู้เรื่องอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่าคุโมะเป็นของนาง ธอร์กับคาลอสคงจะฉกไปแล้ว
"วันนี้นายท่านเตรียมหัวหมุนได้เลยขอรับ"
แซวมาแซวกลับไม่โกง เพราะวันนี้มีเทพชั้นสูงมาเยอะแน่นอน ในเมื่อจะได้ชมความงามบุตรสาวของโอดิน โอกาศแบบนี้ไม่ได้มีกันง่ายๆ ถึงจะแอบเสียดายที่ศากยะไม่ได้มาก็นะ
"นั่นสินะ- อโฟรไดท์!"
เมื่อทิวาเห็นตัวแม่แห่งกรีกมางานก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที เทพีทั้งสองกอดกันกลมก่อนจะเอ่ยทักทาย
"ไม่ได้เจอกันนานเลยนะหนูน้อย"
เทพีกรีกลูบหัวนางอย่างเอ็นดู อยากลักพาตัวไปจากที่นี่จริงๆ! ถ้าไม่มีใครอยู่นะน่าดู!
"แอรีส เฮอร์เมสก็ตามมาด้วยหรอเนี่ย!"
เทพที่เดินตามมายิ้มรับเจ้าของงานด้วยความเป็นมิตร โดยเฉพาะแอรีส เขาดูดีใจมากที่ได้เจอทิวา เทพสององค์นี้สนิทกันกว่าที่คิดนะ!
"ข้าเลือกมาอย่างดีเลยนะ"
เทพแห่งสงครามยื่นของขวัญให้ทิวา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแอรีสห่อเองกับมือเพราะ...หน้าตามันเป็นเอกลักษณ์สุดๆ แต่ก็น่ารักดี
"สุขสันต์วันเกิดครับ"
เทพแห่งการส่งสารยิ้มและวางของขวัญที่เตรียมไว้บนโต๊ะ เพราะพิธีจัดพร้อมกับวันเกิดของทิวา เทพที่สนิทกับนางจึงเอาของมาให้
"ตาซุส! นึกไม่ถึงว่ายังจะมาไหว..."
จะว่าเป็นห่วงก็ห่วง จะว่าไม่อยากให้มาก็ใช่ แต่สุดท้ายจะไล่ก็ไม่ได้เพราะเขาจะเป็นคนช่วยทำให้ศักดิ์สิทธิ์ขึ้น ผู้เฒ่ายื่นของที่เตรียมไว้ให้หญิงสาว
"ข้าจะพลาดงานแบบนี้ได้ไง /หัวเราะ/"
(พลาดไปก็ดีเหมือนกันนะ...)
เนี่ย...นิสัยแบบเนี้ยควรเลิก ไม่เห็นหัวผู้หลักผู้ใหญ่ ถ้าโอดินมาเจอโดนกักบริเวณไปเลยร้อยปี!
"ซูชิ ฮาเดส! นึกว่างานเยอะจนมาไม่ได้"
นอกจากธอร์และโลกิก็มีพี่น้องคู่นี้นี่แหละที่นางชอบมากที่สุด ทิวามองพวกเขาด้วยความตกตะลึง เทพกรีกจะสวยหล่อกันไปไหนเนี่ย!? ยิ่งใส่สูทมางานยิ่งดูดี สักวันนางจะลองถามเคล็ดลับให้ได้!
"เจ้าแก่ขึ้นอีกปีแล้วสินะ"
โพไซดอนพูดทักทายตายภาษาเจ้าตัว เสียงถอนหายใจของเจ้าของวันเกิดดังขึ้นเพราะความขบขัน
"ขอบคุณสำหรับของขวัญนะทั้งสองคน"
เสียงเอะอะดังเป็นจังหวะมาแต่ไกล ช่างเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของเทพบางกลุ่ม
"ทิวา!"
ปราวตีเรียกเทพีสาวพร้อมวิ่งมากอด กลิ่นตัวของอีกฝ่ายหอมจนไม่อยากปล่อยเลย
"แหมๆ แต่งตัวสวยเชียวนะ"
ทั้งทุรคา กาลีและปราวตีต่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มางานสำคัญทั้งทีจะไม่จัดเต็มได้ไงแถมเป็นนี่วันเกิดของทิวาด้วย
"มาช้าเหลือเกินนะเจ้าน่ะ!"
นางหันไปหาสามีของเทพีทั้งสาม จะว่าศิวะดูดีกว่าเดิมเมื่อใส่เสื้อก็ได้แต่มันแปลกตาจริงๆเลย
"คิดว่าอินเดียกับนอร์สมันใกล้กันมากมั้ย"
เทพผิวม่วงตอบประชดประชันวางของที่ทั้งตัวเองและเมียสามเตรียมมาให้
"พวกข้ารอดูเจ้าอยู่นะทิวา"
กาลียิ้มหวานให้ เทพีสาวยิ้มตอบ ทิวาล่ะชอบพวกนางจริงๆ สวยก็สวย นิสัยก็ดี ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะแต่งงานกับศิวะเทพนักเลงแห่งสวรรค์เนี่ย
"นายท่านขอรับ!"
มังกรหนุ่มวิ่งมาหานางด้วยท่าทีเหนื่อยหอบ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรีบแบบนี้
"วันนี้ /หายใจ/ พี่ๆของข้าจะมาขอรับ"
ทิวาแทบล้มทั้งยืนเมื่อได้รู้ว่าจะต้องต้อนรับมังกรที่มาใหม่อีก แต่คิดในแง่ดี นางอยากเจอพี่ๆขององครักษ์หนุ่มตัวนี้มานานแล้ว
"น่าจะมาถึงแล้วนะขอรับ"
มังกรหนุ่มเดินไปหลบด้านหลังของนายท่านอย่างหวาดกลัว หวังจะใช้ทิวาเป็นโล่แน่นอน
"เจ้ารู้ได้ไง?"
นางยังไม่เห็นวี่แววของแขกที่จะมาแม้แต่นิดเดียว แล้วเจ้านี่รู้ได้ไงว่ามาแล้ว
"ถ้านายท่านได้ยินเสียงทะเลาะกันจะเข้าใจขอรับ"
เขาจำได้ชัดเจน ไม่มีครั้งไหนที่พี่สาวและพี่ชายจะไม่ด่ากัน อย่างน้อยหนึ่งครั้งหลังอาหาร ทั้งชีวิตของคาลอสไม่มีอะไรทำให้เขากลัวได้มากกว่าพี่ตัวเองอีกแล้ว!
"ไม่ๆๆๆ พวกเขามาแล้ว!"
เจ้ามังกรกลืนน้ำลายดังเฮือก ส่วนทิวาคิดแค่ว่าทำให้มันจบๆไปแต่เมื่อได้เห็นพวกเขาก็รู้สึกว่าตัวเองหน้าตาบ้านๆไปเลย
"ดูสินี่ใคร เจ้าหนูคาลอส"
หญิงสาวผมสีม่วงครามทักทายชายหนุ่ม รอยยิ้มแสนมั่นใจนั่นเป็นพี่ของคาลอสแน่นอน ทิวารีบจับมือชายหนุ่มให้มาด้านหน้า แต่พอเห็นว่าใครมาก่อนก็ตื่นเต้นขึ้นมา
"ท่านพี่อีดิธ! นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว"
ตัวพี่กอดคอเจ้ามังกรอย่างสนิทสนมก่อนจะยีหัวเขาจนยุ่ง อีดิธหัวเราะ
"คิดว่าข้าจะพลาดงานใหญ่แบบนี้หรอ"
ใช่...พี่สาวคาลอสชัดๆ ท่าทางที่ดูมั่นใจในตัวเองมากกว่าใครเนี่ยอยู่ในสายเลือดแน่
"โอ้! นายของเจ้าสวยนี่นา"
พี่สาวมังกรเดินเข้ามาเพ่งพินิจเทพีสาว ตาสีเขียวเฉียบคมและทรงผมซอยสั้นสุดเท่ ชุดเดรสผ่าข้างแนบตัวเลือดหมูดูเซ็กซี่อย่าบอกใครเลยล่ะ ความแซ่บระดับนี้เหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้องจนเถียงไม่ออกจริงๆ
"อีดิธ! เจ้าไม่เข้าใจคำว่าสำรวมหรือ- "
ชายผมสีฟ้าเข้มวิ่งตามเข้ามาอย่างรีบร้อนราวกับกำลังจะดุมังกรสาว แต่พอเห็นทิวายืนข้างนางเขาก็เงียบทันที
"ท่านคงเป็นเจ้านายของน้องข้า"
เขาก้มหัวทักทาย มารยาทดีมากๆ แต่มันเป็นเรื่องปกติในฐานะราชาแห่งมังกรแฟรี่ ชุดสูทสีน้ำเงินเหมือนสีผมส่วนตานั่นสีมิ้นท์ พี่น้องบ้านนี้คงเน้นสีโทนเย็น
"ท่านพี่เจเลน! ม- มาด้วยหรอขอรับ"
ถ้าถามว่าเจ้ามังกรสุดท้องกลัวใครมากที่สุดก็ต้องเป็นพี่ชาย แค่บอกให้หุบปากทีเดียวทำเงียบทุกคน ความดุแบบนี้แหละที่คุมคาลอสอยู่
"งานสำคัญของนายเจ้าจะไม่ให้พี่มาได้ไง"
ชายหนุ่มยิ้มและตบบ่าน้องชาย ในใจไม่อยากเก็บมาดแล้วกระโดดกอดน้องที่ไม่ได้เจอกันตั้งนาน
"ข้าซึ่งใจมากขอรับท่านพี่"
มังกรผมฟ้ายิ้ม อย่างกับว่าเจเลนเห็นภาพตอนเด็กๆของน้องซ้อนขึ้นมา น้ำตาจะไหลแล้ว...
"ลืมบอก ผู้นำมังกรเผ่าอื่นจะมาด้วย"
นอกจากคาลอสที่กำลังจะวิ่งหนีก็มีทิวานี่แหละที่อยากให้งานจบสักที ยืนต้อนรับแขกอย่างกับพนักงานร้านอาหารแบบนี้มาหลายชั่วโมงแล้วนะ!
"คาลอส!"
เสียงสดใสตะโกนเรียกองครักษ์ของเทพีสาว เมื่อเขามองไปก็เจอเพื่อนๆของตัวเองจากเผ่ามังกรน้ำ มังกรไฟ มังกรฟ้าและมังกรป่า ทุกตัวต่างมาร่วมงามนี้
ระหว่างที่ทิวาคุยกับพวกมังกรอย่างสนุกสนาน นางก็รู้สึกได้ถึงการมาถึงของเทพบางองค์ที่มีพลังเวทย์เช่นเดียวกับนาง เทพีสาวยิ้มกระหยิ่มก่อนจะขอตัวเดินออกมาจากวงสนทนานั้น
"ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะมา"
ทิวาพูดกับเทพอีกองค์ที่หยุดยืนอยู่ข้างเสา ตัวสูงเพรียวมีผิวสีน้ำผึ้ง ชุดคลุมสีน้ำตาลโปร่งปิดใบหน้ายาวลงไปถึงเข่า รอยยิ้มแสนอ่อนโยนเหมือนทุกที
"เทพีตัวน้อยที่ใช้เวทมนตร์ย่อมอยู่ในการดูแลของข้า"
ทิวาพยักหน้าและยิ้ม เทพองค์นี้รู้เห็นทุกอย่างแม้ไม่ได้อยู่ตรงนั้น เรียกได้ว่าเป็นหนังสือบันทึกเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกไว้ในเทพองค์เดียว
"แล้ว...มีเรื่องสำคัญหรอ"
หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้น ปกติเขาจะไม่ค่อยออกนอกบ้านตัวเองเท่าไหร่นอกจากจะมีอะไรแปลกไป
"ข้าแค่มาดูเท่านั้นแหละ"
เทพีสาวพยักหน้า ด้วยความที่ทั้งสองก็สนิทกันพอสมควร นางจึงเอามือไปวางบนไหล่เทพหนุ่ม
"เฮ้อ...มีหรอที่คนอย่างท่านจะดูเฉยๆ"
เขายิ้มอีกครั้ง ถ้าไม่รู้จักกันคงบอกว่าเทพองค์นี้บ้าไปแล้ว ยิ้มมันได้ตลอดเวลา แต่ชายหนุ่มก็ไม่ตอบอะไร ดวงตาคมมองออกไปนอกหน้าต่าง คล้ายว่ากำลังมองดวงจันทร์
"ชื่อใหม่ที่เจ้าเลือกไพเราะดีนะ ข้าหวังว่าจะมีใครเอ่ยนามนั้น"
ทิวาจิบไวน์ระหว่างที่ฟังเขาพูด นางเตาะลิ้นและหันหน้ามองเข้าไปในตาชายหนุ่ม
"งั้น...ที่ท่านเห็นมันเป็นเช่นไรล่ะ"
"เห็นอะไร /ยิ้ม/"
"เหอะ...จะเรียกมันว่าอะไรดีนะ- อ๋อ! อนาคต"
นางหยั่งเชิงอีกฝ่าย ถึงจะรู้ว่าเขาไม่มีทางบอกความลับของจักรวาลให้ฟังแน่ๆ
"หากข้าตายจะได้เตรียมใจถูก"
ทิวาหัวเราะเบาๆ คิดว่าเขาต้องมีหลุดออกมาบ้าง สักนิดก็ยังดี
"ถ้าบอกก็หมดสนุกสิ"
เขาหยิบไวน์ขึ้นจิบแต่ไม่นานก็เทมันทิ้ง วินาทีต่อมามีเทพองค์นึงเสียหลักล้มโดนชายหนุ่ม หากแก้วยังเต็มอยู่เหล้าองุ่นคงได้เลอะชุดขาวของทิวาแน่ๆ
"ไม่ต้องขอบคุณก็ได้"
ชายคนนั้นหัวเราะ ทิวายิ้มอ่อน เทพองค์นี้ทำให้นางประหลาดใจมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน
"แต่ข้ามาเพราะมีเหตุผลอย่างเจ้าว่าจริงๆ..."
เขาเบี่ยงตัวหันมาทางเทพีสาว ร่างสูงย่อตัวลง เสียงนุ่มนวลราวใบไม้ปลิวผ่านหน้านางไป
*หลังพิธีจบที่ระเบียงทิศเหนือ*
ชายหนุ่มกระซิบข้างหูนางก่อนจะยิ้มและเดินหายไปแบบไม่บอกไม่กล่าว
"ที่รักจ๋า ไปเปลี่ยนเสื้อได้แล้วนะ"
โลกิวิ่งมาหาทิวาเพื่อบอกว่าพิธีใกล้จะเริ่ม นางพยักหน้ารับรู้และเรียกคาลอสให้ตามนางมา
"เรียกนางกำนัลไม่ดีกว่าหรือขอรับ"
เจ้ามังกรหนุ่มตามนายท่านด้วยความเลิ่กลั่ก เขาคือองครักษ์ตัวผู้นะ! ให้มาแต่งตัวมันผิดวัตถุประสงค์!
"ขอเถอะน่า อยู่กับข้าก่อนสิ"
เมื่อเข้าไปถึงห้อง เทพีสาวหยิบเสื้อที่เตรียมไว้มาใส่ ขนาดยังไม่เรียบร้อยสมบูรณ์ดีทิวาก็เปล่งประกายราวดาวจรัสแสง
"ดีที่ข้ามีสกิลการแต่งหน้านะขอรับ!"
ชายหนุ่มผมฟ้าค่อยๆแต้มสีสันแบบธรรมชาติให้ทิวา พวงแก้มสีชมพูเบาบางและทาลิปมันที่ปาก เขาดูภูมิใจและมีความสุขมาก
"ต่อไปก็ทรงผม"
คาลอสจับช่อผมได้อย่างชำนาญ ที่จริงเขาควรเปลี่ยนหน้าที่จากปกป้องมาเป็นเสริมสวยให้เทพีสาวดีกว่านะเนี่ย ส่วนเครื่องประดับนั้นเจ้ามังกรหนุ่มเลือกมาทั้งหมด
"สร้อยคอของนายท่านขอรับ"
สร้อยคอประจำตัวแทนคนสำคัญที่ล่วงลับไปแล้ว ใส่กับชุดขาวดูแปลกตาจริงๆ พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็นั่งพักสักครู่ รอให้คนมาเรียก
"หลังจากจบพิธีนี้นายท่านจะดูโตขึ้นแล้วนะขอรับ"
ชายผมฟ้าบอก ในเมื่อพลังที่กดร่างนางไว้หายไปแล้ว นายท่านของเขาก็จะเหมือนคนอายุยี่สิบต้นๆยังไงล่ะ! ทั้งหน้าตาทั้งส่วนสูงคงเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อยนั่นแหละ
"ตอนนี้นายท่านรู้สึกอย่างไรบ้างขอรับ!"
คาลอสที่กำลังช่วยเจ้านายจัดชุดถามความรู้สึกของหญิงสาว นางยิ้มอ่อนโยนและมองตัวเองในกระจก
"รู้สึก...ตื่นเต้นมาก"
เมื่อมองเข้าไปนางรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแม่ชี ทั้งเดรสและที่ตกแต่งผมล้วนเป็นสีขาวตัดกับดวงตาของนาง ทรงผมที่ถูกจัดมาอย่างเรียบร้อยดูไม่ค่อยเข้ากับนางเท่าไหร่นัก
"คาลอส...ถ้าข้าตายขึ้นมาล่ะ"
มาถึงตอนนี้นางเริ่มหวั่นใจกับคำพูดของเทพหนุ่ม บางทีทิวาอาจกล้าที่จะเสี่ยงแต่สุดท้ายก็กลัวที่จะล้มเช่นกัน กลัวว่าร่างกายนี้จะหายไปพร้อมเปลวเพลิง
"ข้ารู้ว่าถอยไม่ได้แต่ข้าก็- "
นางกัดริมฝีปากตัวเองเน้นก่อนจะเดินไปมารอบห้อง มังกรหนุ่มจับไหล่ทิวาไว้และรีบคุกเข่าทั้งสองข้างต่อหน้านายเหนือหัว
"นายท่านของข้างดงามและแข็งแกร่งที่สุด ท่านจะต้องไม่เป็นไร"
คาลอสเอาหน้าผากตัวเองแตะที่ฝ่ามือของเจ้านายเป็นการให้เกียรติ
"สัญญากับข้านะขอรับ..."
เขาลุกขึ้นและกอดนางด้วยความห่วงใย ทิวาสูดหายใจเข้า
"สัญญาว่านายท่านจะกลับมาอย่างปลอดภัย"
เทพีสาวลูบหัวอีกฝ่าย เจ้ามังกรตัวนี้เป็นห่วงนางเสมอเลย เขาคือน้องชายที่น่ารักของนางจริงๆ
"ได้เวลาแล้วค่ะ"
หนึ่งในข้ารับใช้เข้ามาเรียกทิวา นางจับมือองครักษ์ของตัวเองมาเกี่ยวก้อย
"ข้าสัญญา"
คาลอสยิ้มและโบกมือลา เขาเดินนำออกไปก่อนเพราะเจ้าของพิธีนี้ต้องเดินคนเดียวอย่างเฉิดฉายดั่งวิหคอัคคีที่บินบนท้องฟ้า ทิวามองไปยังดวงจันทราที่เด่นชัดเต็มดวงราวกับกำลังยินดี
"ไปล่ะนะ!"
เมื่อม่านสีแดงเลือดหมูเปิดออก วงดนตรีก็เริ่มบรรเลง เสียงไวโอลินคลอเปียโนช่วยเปิดท้องฟ้าให้ปลอดโปล่ง ดอกไม้หลากสีโปรยลงมาตามทางที่หญิงสาวเดิน เทพมากมายต่างนิ่งเงียบเพื่อชื่นชมความงามที่มิอาจเปรียบเทียบ
เดรสสีขาวยาวสยายอยู่ด้านหลังของนางราวชุดเจ้าสาว มันถูกประดับด้วยไข่มุกและเพชรเม็ดขาว แต่ละก้าวที่เดินดั่งนางหงส์ ทั้งใบหน้า ดวงตา ริมฝีปาก เรือนผม ทุกส่วนดูดีไปหมด
ทิวาเดินมาถึงแท่นที่โอดินยืนรออยู่ นางถอนสายบัวอย่างอ่อนน้อม เทพีสาวมองท่านพ่อของตัวเอง เป็นซุสที่เริ่มพูดขึ้นมา
"เชื่อกันว่าเปลวเพลิงแห่งฟินิกซ์ช่วยเปิดแก่นวิญญาณของเทพ"
"จนสามารถล่วงรู้กาลเวลาและเวทย์ขั้นสูง"
"รวมถึง...มอบชีวิตใหม่"
คาลอสถือมงกุฎที่ทำมาจากทองคำขาวชั้นดีกับเพชรอีกมากมาย โอดินและซุสหยิบมันขึ้นมาคนละข้าง ทิวาย่อตัวลงก่อนที่มุงกุฎนั่นจะถูกวางลงบนศีรษะของนาง
"ดวงไฟดวงนี้จะปลดปล่อยเจ้าเป็นอิสระ"
ผ่านไปได้ไม่ถึงสิบวินาที หัวใจของทิวาก็บีบรัดอย่างรุนแรงจนแทบล้มไปกองกับพื้นแต่นางยังพอจะพยุงร่างตัวเองไว้ได้ พิธียังไม่จบและเข่านางจะถึงพื้นไม่ได้ เทพีสาวสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่
"กายเก่านั้นจะกลายเป็นเถ้าธุลีฝุ่น"
หลังจากจบประโยคก็เกิดแรงสั่นสะเทือนที่พื้นเบาๆ เสื้อผ้าที่ขาวสะอาดเริ่มมีเปลวไฟติด มันก่อตัวจนลุกโชนทั่วทั้งร่าง น่าแปลกที่ทิวาไม่รู้สึกร้อนเลยสักนิด เทพส่วนใหญ่ตื่นตระหนกและอยู่ไม่นิ่ง
"นายท่านขอรับ!"
แต่คาลอสไม่สามารถดูอยู่เฉยๆได้ ถ้าพี่เจเลนไม่จับไว้ก่อนป่านนี้เจ้ามังกรคงพุ่งเข้าไปหาทิวาแล้ว เขาเห็นนายของตัวเองกำลังถูกเผาไหม้
"คาลอส! ใจเย็น"
อีดิธพยายามปลอบน้องตัวเองอย่างสุดความสามารถแต่สำหรับเจ้าหนุ่มผมฟ้าในตอนนี้ทิวาสำคัญที่สุด เขาไม่ได้ลดความกังวลลงเลย คาลอสไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของนาง
*ท่านโลกิ! ท่านไม่ได้บอกข้าเรื่องนี้*
เขาหันไปหาเทพแห่งคำลวง เท่าที่จำได้ไม่มีใครบอกว่านายท่านของเขาจะถูกไปครอกแบบนี้!
*ข้าก็นึกไม่ถึงเหมือนเจ้านั่นแหละ!*
กลายเป็นว่าท่านเทพก็ไม่รู้เหมือนกันแต่เพื่อภาพลักษณ์ที่ต้องนิ่งเข้าไว้ทำเขาแทบสติแตก
*ท่านธอร์รู้หรือไม่ขอรับ!*
ในเมื่อคนน้องไม่รู้คนพี่ก็ต้องรู้สิ! แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการส่ายหน้าเบาๆของเทพแห่งสายฟ้า อยู่ดีๆเทพทั้งหมดที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ตาค้าง คาลอสหันกลับไปมองนายของตัวเอง
"คาลอสอย่า- !"
เจเลนพยายามจะห้ามไม่ได้น้องชายหันไป เจ้ามังกรเห็นเพียงเถ้าถ่านที่กองอยู่บนพื้น ไร้วี่แววของทิวา ไม่มีแม้แต่เงา ทุกอย่างหายไป เดรสสีขาวของนางหายไปไหน
"เกิดอะไรขึ้น..."
เจ้าชายแห่งอาณาจักรมังกรล้มลงไปกับพื้น นี่มันคืออะไร นายท่านของเขาหายไปไหน นางตายแล้วหรอ นี่เป็นส่วนนึงในพิธีหรือเปล่า ทำไมไม่มีใครทำอะไรเลย คาลอสยอมรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ชายหนุ่มนิ่งเงียบราวกับโลกทั้งใบสลาย เทพทุกองค์ต่างตกใจกับเหตุการณ์
"นายท่านขอรับ!"
แต่องครักษ์ของเทพีสาวไม่อยากทนอีกต่อไป เขาวิ่งเข้าไปหานางแบบที่ไม่กลัวว่าโอดินจะลงโทษ น้ำตาเม็ดใสหยดลงบนเถ้าสีเทานั้น
"อย่าตายนะขอรับ...ข้าขอร้อง"
มังกรฟ้าพูดกับสิ่งที่หลงเหลืออยู่บนพื้น
"คาลอส...คาลอสหรอ!"
ทิวาสะดุ้งตื่นขึ้นมาท่ามกลางทุ่งหญ้าที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวนางและสายลมกับ...ซากไม้สูงตระหง่านเกือบเท่าตึกสิบชั้น แต่เมื่อกี้นางได้ยินเสียงคาลอสนะ แล้วตัวเขาอยู่ไหนล่ะ
"แหมๆ มีเทพโผล่มาอีกแล้วหรอเนี่ย"
เสียงก้องของใครบางคนอยู่ไม่ไกล นางมั่นใจว่าเป็นผู้หญิง เทพีสาวมองไปด้านหลัง นกเพลิงตัวใหญ่เท่ามังกรกำลังบินอยู่ตรงหน้าทิวา
"นกฟินิกซ์ตัวเป็นๆหรอ!?"
แม้ว่าที่นี่จะเป็นแดนสวรรค์แต่นกฟินิกซ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่หาดูได้ทุกวัน โอดินเคยบอกไว้ว่าพันปีอาจมีคนเห็นแค่คนเดียว
"เรียกข้าซูเลียน แล้ว...เมื่อครู่เจ้าพูดชื่อใครนะ"
อีกฝ่ายถามพร้อมมองร่างเล็กของทิวาไปเรื่อยๆราวกำลังพิจารณานาง
"องครักษ์ของข้า ข้าสัญญากับเขาว่าจะปลอดภัย"
นกตัวนั้นหัวเราะเสียงดังก่อนจะร่อนตัวลงบนพื้น มันเดินเข้ามาใกล้ๆตัวทิวา ขนที่เป็นกลุ่มไฟทำเอาร้อนไปหมด
"ฮ่า...เจ้าคิดว่าเจ้าจะได้ออกไปรึ"
ซูเลียนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ทิวาขมวดคิ้ว ตอนนี้นางต้องต่อรองกับนกยักษ์หรอเนี่ย
"แล้วทำไมข้าถึงออกไปไม่ได้?"
เทพีสาวกอดอกและเชิดหน้าขึ้นอย่างท้าทาย หากซูเลียนพูดมาแบบนี้ก็แปลว่าต้องมีเหตุผล ส่วนเรื่องความพอใจกับสิ่งที่ได้มาเดี๋ยวค่อยว่ากัน
"เพราะเทพที่มาก่อนหน้าเจ้าไม่ได้ออกไป"
นกขนาดใหญ่ย่อตัวลงหรี่ตามองผู้มาเยือนให้ชัดกว่าเดิม ทิวาตัวเล็ก อายุน้อยแถมเป็นเทพี ถึงจะมีเวทมนตร์แต่ก็ไม่ได้แปลว่าแข็งแกร่ง
"ข้ามั่นใจว่าพวกเขายังพยายามไม่เต็มที่"
ซูเลียนเค้นเสียงเหอะในลำคอ พลางคิดว่ายัยเด็กนี่ช่างอวดเก่งเหลือเกิน นกฟินิกซ์ยักษ์ลุกขึ้นจากพื้น บินไปเกาะบนกิ่งไม้
"เด็กน้อยเช่นเจ้าไม่ควรพูดแบบนั้น"
ทิวาถอนหายใจ ตั้งแต่เกิดมานางยังไม่เคยต่อล้อต่อเถียงกับใครขนาดนี้มาก่อน
"ข้าต้องออกไปจากที่นี่ ซูเลียน"
ทิวายื่นคำขาด สายตาอันแน่วแน่บอกว่านางจะไม่ยอมติดแหง็กอยู่ในนี้กับนกฟินิกซ์ยักษ์
"เฮ้อ...เจ้านี่มันดื้อรั้นจริงๆ"
ซูเลียนถอนหายใจหนัก ตั้งแต่จุดเริ่มต้น มันยังไม่เคยเห็นเทพองค์ไหนดึงดันจะออกไปขนาดนี้
"ข้าจะไม่ตายหรือติดอยู่ที่นี่เหมือนเทพคนอื่น"
ทิวาตะโกนบอกเจ้านักยักษ์ที่เกาะอยู่บนเหนือสุดของต้นไม้
"ข้าบอกอะไรให้เอามั้ยหนูน้อย"
นกฟินิกซ์ยักษ์กางปีกบินขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
"หยุดเรียกข้าแบบนั้น ข้าคือหนึ่งในเทพีของนอร์ส"
แม้อีกฝ่ายจะตัวใหญ่แค่ไหนแต่ทิวาจะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกนาง ซูเลียนกระพือปีกจนหญ้ารอบด้านลู่ไปกับพื้น
"เทพที่ไม่คู่ควรตายด้วยน้ำมือข้ามานักต่อนัก"
ทิวาถอยไปหลายก้าวเผื่อว่าต้องสู้กัน แม้จะไม่มีอาวุธแต่นางก็ยังอยากจะมีชีวิตรอด
"และเจ้าเป็นหนึ่งในนั้น"
ซูเลียนพุ่งเข้ามาหมายจะเอากรงเล็บตะปบเทพีสาว ทิวาหลบไปด้านข้างได้อย่างฉิวเฉียด นางได้แต่คิดว่าต้องทำยังไงถึงจะชนะ ที่แห่งนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากต้นไม้แห้งยืนต้นตาย
"เมื่อเทพไร้พลังพวกมันก็อ่อนแอไม่ต่างจากมนุษย์"
เจ้านกยักษ์ไม่ยอมให้นางหนีใช้ปีกขนาดมหึมาฟาดเข้ากลางหลังอีกฝ่ายที่ตัวเล็กกว่า เปลวไฟนั่นมันร้อนจนแสบไปหมด ทิวาเห็นจังหวะที่ซูเลียนขยับตัววิ่งเข้าไปใต้โพลงไม้
"นั่นสินะ เวลากลัวก็วิ่งหนี"
ปักษาเพลิงใช้จะงอยปากแหลมคมกัดกระชากต้นไม้อย่างแรงจนมันเริ่มสั่น ถึงอย่างนั้นซูเลียนไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วทิวาไม่ได้กำลังกลัว แต่นางกำลังตื่นเต้น หญิงสาวหักกิ่งไม้ในนั้นและปาใส่นกนั่นอย่างแรง
"เจ้า...คิดจะสู้กลับรึ?"
ทิวาส่งเสียงหัวเราะเบาๆมาจากโพลงไม้ที่ตัวเองหลบอยู่ นางฉีกกระโปรงตัวเองออกเพื่อไม่ให้มันเกะกะขวางทาง
"ไม่เคยเจอเทพที่วุ่นวายขนาดนี้ใช่ปะ"
อีกหนึ่งอย่างที่ซูเลียนไม่ได้บอกนางคือที่แห่งนี้เปลี่ยนสภาพไปตามอารมณ์ของผู้มาเยือน เทพที่มาส่วนใหญ่จะหวาดกลัวที่ตัวเองไร้พลังจนทุกอย่างว่างเปล่า แต่สุดท้ายแล้วทิวาก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อน แค่นี้ไม่พนามือหรอก!
"ข้าจะไม่ยอมตายรอบที่สามหรอกจำไว้!!"
จากทุ่งโล่งมีลมเย็นกลายเป็นสมรภูมิรบ พื้นดินแห้งแตกระแหง ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงเหมือนโลหิต ดาบประจำตัวของทิวาปักอยู่กลางต้มไม้ เทพีสาวคว้ามันไว้และฟาดใส่นกยักษ์อย่างเต็มแรง
"คิดจะฆ่าข้าเพื่อออกไปรึ!"
มันแผดเสียงร้องดังลั่น คงโกรธที่เหยื่อไม่ตายง่ายอย่างที่คิด ทิวาวิ่งลอดใต้ท้องซูเลียนก่อนจะใช้ปลายดาบกรีดเป็นแนวยาว ถึงอีกฝ่ายจะเจ็บปวดแต่สุดท้ายขนเพลิงนั้นก็เผาร่างนางไปบางส่วนเหมือนกัน
"ก็คงต้องลองดูอะนะ"
ข้อดีของการไม่ได้เกิดมาเป็นเทพโดยสมบูรณ์คือต่อให้ไร้พลังก็สามารถดิ้นรนต่อไปได้ เล็บของเจ้านกยักษ์ตบเข้ากลางตัวหญิงสาวอย่างจัง ของเหลวสีแดงสดไหลตามรอยกรงเล็บ
"โอย...เจ็บใช้ได้นะเนี่ย"
ทิวากุมแผลก่อนะพุ่งเข้าใส่ซูเลียนอีกครั้ง คราวนี้นางเล็งที่กลางตัวของมัน หากว่านางต้องติดอยู่ในนี้ นางจะสู้ให้ถึงที่สุดก่อน ถ้าตายขึ้นมาล่ะก็...การมาที่นี่ก็ไร้ความหมาย
อีกฝ่ายพยายามบินขึ้นเหนือพื้นแต่ทิวาใช้ดาบปักปีกนกยักษ์ก่อนจะตวัดมันขึ้นเพื่อให้เฉือนผ่านเนื้อนั้น ปีกที่เคยมีไฟลุกโชนกลับหลุดรุ่งริ่ง เทพีสาวฉวยโอกาศใช้อาวุธอันเดิมแทงกลางอกของซูเลียน มันใช้เท้าข้างนึงเตะทิวาลอยไปไกล
ร่างโซซัดโซเซของซูเลียนทำทิวาใจชื้นขึ้นมาบ้าง ถ้าจัดการอีกทีก็จบ นางวิ่งเข้าใส่อีกครั้งแต่อยู่ดีๆสภาพแวดล้อมทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม ดาบในมือหญิงสาวหายไป
"/หัวเราะ/ เจ้าไม่ใช่แค่เทพกระจอก"
ร่างนกยักษ์สลายหายไปเป็นฝุ่นผงเหมือนก่อนหน้าที่ทิวาจะมาที่นี่ แต่แล้วเปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นจากกองเถ้าก่อตัวขึ้นเป็นซูเลียนดังเดิม ทั้งสง่างามและแข็งแกร่ง
"เจ้าทำให้ข้าได้รู้ว่าเจ้าคู่ควรกับเปลวเพลิงนี้"
ซูเลียนย่างกรายเข้ามาหาทิวา ขนที่เคยมีเปลวไฟกลายเป็นขนสีแดงส้มธรรมดา มันใช้ปีกข้างเดียวกันกับที่นางฟันจนเกือบขาดลูบเทพีสาวเบาๆ
"ตั้งแต่ข้าอยู่ที่นี่ ข้ายังไม่เคยเจอใครสู้กลับได้แรงเท่านี้มาก่อน"
ซูเลียนหัวเราะ ทิวายิ้มแห้ง ก็นะนางพยายามจะฆ่ามันนี่นา รอยแผลบนร่างของเทพีสาวหายเกลี้ยงอย่างกับไม่เคยมีมาก่อน ทิวารู้สึกตื้นตันใจแต่ก็ตกใจไปพร้อมๆกัน
"บอกแล้ว ข้าจะไม่ยอมตายอีกเป็นครั้งที่สาม"
เทพีสาวยิ้มร่า อีกฝ่ายพงกหัวตอบรับเบาๆ
"นี่เจ้าหนู ไม่สิ...เทพีน้อย เจ้าอยากกลับไปรึยัง"
นางพยักหน้ารัวๆ อยากกลับไปหาคาลอสกับคนอื่นๆจะแย่แล้ว ซูเลียนบินขึ้นเหนือพื้นอีกครั้ง ขนาดตัวใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า ขนกลับมาเป็นเปลวเพลิงดังเดิม แสงที่สาดส่องออกมาเจิดจ้าราวดวงตะวัน นกยักษ์บินวนรอบตัวของเทพีสาวไวจนมองเป็นภาพติดตา
"หากเจ้าต้องการข้าแค่เรียกชื่อเท่านั้น"
เสียงนั้นคือเสียงสุดท้ายที่ทิวาได้ยินก่อนทุกอย่างจะดับวูบลง
"ข้าขอร้องล่ะ...ฟื้นขึ้นมานะขอรับ"
ทุกสายตาจับจ้องมาที่มังกรหนุ่ม คาลอสก้มหน้าร้องไห้อยู่ที่เดิม เสียงลมพัดดังแว่วข้างหู คาลอสคิดไปเองว่ามันเป็นฝีมือของมังกรฟ้า
"เอลลิน ข้าไม่เล่น- "
คาลอสถึงกับหยุดหายใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เศษขี้เถ้าค่อยๆลอยสูงขึ้นและเปล่งแสงสีขาวไปทั่ว มันระเบิดออกเผยให้เห็นร่างของสตรีนางนึง
ผมลอนสีช็อคโกแลตเป็นคลื่นทะเลปลิวไปตามสายลม ใบหน้าที่ดูโตขึ้นช่างงดงามดั่งภาพวาดสีน้ำมัน ปากชมพูอวบอิ่ม ผิวนวลเนียนราวแสงบุหลันยามค่ำคืน ดวงตาสีม่วงช้องนางเป็นประกายแวววับ ชุดเดรสฟ้าครามมีเพชรเม็ดเล็กติดไว้เหมือนกับดวงดาว หญิงสาวสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่
"น- นายท่านปลอดภัยหรือขอรับ!"
เจ้ามังกรรีบวิ่งเข้ามาสวมกอดนางอย่างไว แต่ส่วนสูงที่เคยจำได้เปลี่ยนไปแล้ว นางตัวเท่าหูเขาเลยนะ!
"ข้าสัญญาไว้แล้วนี่นา"
เทพีสาวกอดรัดอีกฝ่ายแน่นเพราะอยากจะปลอบใจที่ทำเขาร้องไห้เมื่อกี้
"ที่รัก!!"
"/เช็ดน้ำตา/ ทิวา ข้านึกว่าเจ้าจะไม่กลับมาแล้ว..."
แทนที่จะมีแค่คาลอสคนเดียว โลกิ ปราวตี กาลีและทุรคาที่ไม่สามารถเก็บความดีใจไว้ได้วิ่งเข้ามาหานางเช่นกัน ทิวาไม่ยักรู้มาก่อนว่าการตัวสูงเท่ากับปราวตีมันรู้สึกดีขนาดนี้ ถึงสุดท้ายจะเตี้ยกว่าโลกิก็ตามที
"ต่อจากนี้และตราบชั่วนิรันด์ ผืนแผ่นดิน แดนสวรรค์หรือนรกภูมิ"
ซุสและโอดินเดินเข้ามาหาทิวา พวกเขาหยิบมงกุฎสีขาวตอนต้นขึ้นมาใหม่ เมื่อมันถูกวางลงบนหัวของนางอีกครั้ง เพชรที่ถูกแปะเอาไว้ก็ฉายแสงขับเน้นความงามนี้
"ร่างเจ้าที่เกิดขึ้นใหม่จะถูกเชิดชู"
ทิวาเห็นร้อยยิ้มนั้น รอยยิ้มอันแสนภาคภูมิใจของโอดิน ตอนนี้นางโตเป็นสตรีเต็มตัว ไม่นานชื่อของนางอาจได้รับการบูชาจากมวลมนุษย์
"นามที่ปักษาเพลิงเลือกสรรค์...ลิเวียร์น่า"
ต่อให้ชื่อเก่าจะแปลว่าดวงตะวัน แต่กระนั้นนางก็ยังคงคิดถึงข้อความสุดท้ายในจดหมายของชายหนุ่มผู้ลาลับ 'ดวงจันทร์กลางหัวใจ' นางอาจจะยึดติดกับอดีตเกินไปแต่...มันคือหนึ่งสิ่งที่ทำให้นางคิดถึงเขา
"เทพีองค์ใหม่ถือกำเนิดขึ้นแล้ว!"
เสียงโห่ร้องดีใจของเทพมากมายลั่นไปทั่วแดนสวรรค์ เสียงคำรามดังกึกก้องของเหล่ามังกรประกาศกร้าวให้เทพีหน้าใหม่ วัลคีรี่ที่ยืนดูอยู่ต่างปรบมือแสดงความดีใจ แม้แต่โพไซดอนยังยิ้มอ่อนๆ
"เห็นมั้ย ถ้าข้าบอกก่อนมันจะไปสนุกได้ไงกัน"
เทพปริศนาปรบมือเบาๆเมื่อเห็นทิวายิ้มมีความสุขอยู่กลางงาน เด็กสาวชาวโลกผู้ที่ต้องกัดฟันสู้กับโลกทั้งใบ ผู้ที่โกงความตายจนกลายเป็นเทพี นี่สินะ จุดจบอันสวยงามของทิวา...เดี๋ยวก่อน ไม่สิ มันคือตำนานบทแรกต่างหาก บุตรีแสนงามของโอดิน เทพีแห่งสรรพชีวิตและเวทมนตร์ นามนั้นคือ 'ลิเวียร์น่า'

#talk
ลงอีกแล้ว ลงอีกแล้วววววว ทำไมมันลงใกล้วันครบรอบหนึ่งปีขนาดนี้เนี่ย! เหนื่อยจะตายแล้ว เอาจริงๆไรท์ไม่ค่อยสันทัดเรื่องฉากต่อสู้เท่าไหร่ แต่ไม่มีไม่ได้นี่นะ
ส่วนรูปของน้องลิเวียร์น่านั้น เพื่อนของไรท์ได้ให้เกียรติมาวาดให้ค่ะ! ปรบมือรัวๆ รูปเก่าที่ใช้ไรท์ขอออนุญาตเพื่อนแล้วนะคะว่าจะเปลี่ยนเป็นอีกคนนึงที่เค้าวาดให้ เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาแน่นอนค่ะ! ใครสนใจลายเส้นของเพื่อนไรท์คนนี้อยากจะจ้างวาดไรท์จะทิ้งช่องทางติดต่อไว้ให้นะคะ

สำหรับใครที่อยากถามคำถามรีบหน่อยนะคะ ไรท์ให้สุดถึงวันนี้เลย! สำหรับวันนี้ไรท์ไปล่ะ เจอกันตอนต่อไป บะบาย❤️❤️❤️
Capture Chat Story
“มาเป็นคนแรกที่โดเนทให้กำลังใจนักเขียนกันเถอะ”
| โดเนทสูงสุดของเรื่อง ดันมาเกิดใหม่ในมหาศึกคนชนเทพซะงั้น (Record of Ragnarok × oc) | ||||
|---|---|---|---|---|
![]() 20.00 ![]() | ![]() มาโดเนทกัน | ![]() มาโดเนทกัน | ![]() มาโดเนทกัน | ![]() มาโดเนทกัน |
| โดเนทสูงสุดของ ตอนย่อยนี้ | ||||
|---|---|---|---|---|
![]() มาโดเนทกัน | ![]() มาโดเนทกัน | ![]() มาโดเนทกัน | ![]() มาโดเนทกัน | ![]() มาโดเนทกัน |

[RoR]มหาศึกคนชนเทพ(กำลังรีไรท์)

ใหม่ไปเก่า




